Top 10 Best Sports Cars
Top 10 Best Sports Cars
Top 10 Nissan 370Z
370Z เปิดตัวปลายเดือนธันวาคม 2551 รหัสตัวถัง Z34 ใช้เครื่องยนต์ V6 รหัส VQ37VHR กำลัง 337PS แรงบิด 370 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-96.56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในเวลา 5.1 วินาที จากการทดสอบของนิสสัน แต่จากการทดสอบขององค์กรภายนอก (Motor Trend Magazine) 4.7 วินาที วิ่งระยะทาง 400 เมตร(ควอเตอร์ไมล์) ใช้เวลา 13.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้จะใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ นิสสันได้พัฒนาเครื่องยนต์มาเป็นอย่างดี 370Z ใช้เชื้อเพลิง 7.6 กิโลเมตรต่อลิตร ในเมือง และ 11 กิโลเมตรต่อลิตร บนถนนไฮเวย์ และมีมลพิษในไอเสียเพียงครึ่งหนึ่งของ มาตรฐานไอเสียของสหรัฐอเมริกา นิสสันประเทศไทย ได้นำเข้า 370Z มาขายเอง โดยจะมี 2 รุ่น คือ เกียร์ธรรมดา 6 สปีด 5.2 ล้านบาท และเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด 5.3 ล้านบาท
Top 9 Mazda RX-7
Top 8 Mercedes Benz SLK Class SLK 55 AMG
Mercedes Benz SLK 55AMG ครื่องยนต์ V8 ขนาด 5461 ซีซี มีอัตรากำลังอัดแรงสูงที่ 12.6 :1 ให้พละกำลังขับเคลื่อนได้สูงสุดถึง 415 แรงม้า ให้แรงบิดได้มากถึง 398 ปอนด์-ฟุต ที่ 4500 รอบต่อนาที สามารถทะยาน 0-100 ได้ในเวลาเพียง 4.5วินาที และความเร็วสูงสุดที่ล็อคที่ 248 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
V8 รุ่นนี้ ก็มาพร้อมระบบพิเศษที่สามารถลดการทำงานของเครื่องยนต์ได้ โดยเมื่ออยู่ในสภาวะที่
ไม่ได้ใช้พลังมากนัก สูบที่ 2-3-5-8 จะทำการปิดและไม่สั่งจ่ายน้ำมันรวมถึงจุดระเบิด ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังมาแรง และเมื่อทำงานก็จะมีการแสดงสถานะ ECO ให้คนขับรับทราบ ที่ยังแบ่งเป็น Eco 4 และ Eco8 นอกจากนี้ยังมีโหมดสปอร์ตพร้อมลุยทุกเส้นทางทั้งหมดส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 7G Plus Tronics ที่มี 3 โหมดให้ขับสนุกทั้ง C (Control Efficiency) M (Manual) และที่ขาดไม่ได้ S (Sport)
Top 7 BMW Z4
BMWZ4 ได้วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบในรุ่น sDrive20i ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะ บีเอ็มดับเบิลยู TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 184 แรงม้า เร่งความเร็วจาก 0-100 เพียง 6.9 วินาทีเท่านั้น ลงใน Z4 โดยมีระบบวาล์วแปรผันอิสระ Valvetronic และระบบจ่ายเชื้อเพลิงเข้าห้องเผาใหม้แบบ Direct Injection ช่วยลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เสริมด้วยเทอร์โบ TwinScroll และวาล์วแปรผันคู่ ซึ่งให้การตอบสนองของการขับขี่ และความความปราดเปรียวตามที่ต้องการ อีกทั้งยังเสริมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อม Steptronic แบบสปอร์ต ที่ให้ความนุ่มนวล และฉับไวในการเปลี่ยนเกียร์ รวมถึงอัตราทดของแต่ละเกียร์ได้ถูกออกแบบให้มีระยะชิดกัน ทำให้การเปลี่ยนเกียร์ในแต่ละจังหวะต่างกันเล็กน้อยจนคุณแทบไม่รู้สึก ปิดท้ายด้วยระบบ Brake Energy Regeneration โดยจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเข้าสู่ระบบ ซึ่งสามารถลดการสิ้นเปลือง และมลภาวะในเวลาเดียวกัน เพราะระบบจะนำพลังงานที่ถูกจัดเก็บมาใช้สำหรับการเร่งแซงทันทีที่ต้องการ
Top 6 Nissan GT-R NISMO
GT-R Nismo 2017 ที่มาด้วยขุมกำลัง 600แรงม้า แรงบิด 481 ปอนด์ฟุต จากเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ 3.8ลิตร V-6 ภายในยังตกแต่งด้วยเบาะหนังหุ้ม Recaro พวงมาลัยหุ้มด้วยผ้า Alcantara กันชนหน้าและสเกิร์ตรอบคันผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์สีดำตัดขอบแดง ส่วนสปอยเลอร์หลังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ยังคงใช้เครื่องยนต์ VR38DETT แบบ V6 24 วาล์ว ขนาด 3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุดกว่า 600 แรงม้า มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบ คลัทช์คู่ 6 จังหวะระบบโช้คอัพแบบปรับระดับได้ของ Bilstein รุ่น DampTronic ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการปรับระดับความหนืดของโช้คอัพให้สอดคล้องกับการขับขี่หลากหลายแบบ ที่ถูกนำมาใช้กับ GT-R นั้น ยังคงมีอยู่ในเวอร์ชั่น NISMO แต่มีการปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อให้รองรับกับสมรรถนะของเครื่องยนต์ ให้สามารถถ่ายทอดลงสู่พื้นถนนได้อย่างเต็มที่
Chevrolet Camaro ZL1 ได้รับการเพิ่มพลังให้อีก 70 แรงม้า (hp) เมื่อเทียบกับเครื่องเดิมรหัส LSA รุ่นปี 2015 รุ่นใหม่ MY2017 จะมากับเครื่องยนต์เบนซิน V8 สูบรหัส LT4 ความจุ 6.2 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ ที่ผลิตกำลังได้ 650 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 88.4 กก.-ม. เพิ่มขึ้นถึง 11.5 กก.-ม. ระบบส่งกำลังเลือกได้ระหว่างธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 10 จังหวะรุ่นล่าสุดที่ GM พัฒนาร่วมกับฟอร์ด ราคาจำหน่ายรุ่นคูเป้หลังคาแบบฟิกซ์ 62,135 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2.15 ล้านบาท ส่วนรุ่นเปิดประทุน ZL1 Convertible ราคา 69,135 ดอลลาร์ หรือราว 2.4 ล้านบาท
Top 4 McLarenP1
P1 ได้ใช้เครื่องยนต์ McLaren M838TQ twin-turbo 3.8 ลิตร V8 ซึ่งสามารถให้กำลังได้ถึง 727 แรงม้า (542 kW) และแรงบิดที่ 719 นิวตัน/เมตร (531 lb ft) ส่วนเครื่องยนต์ไฟฟ้า สามารถทำกำลังได้ที่ 176 แรงม้า (131 kW) และแรงบิดที่ 260 นิวตัน/เมตร (192 lb ft) เมื่อรวมกันแล้วสามารถทำกำลังได้มากถึง 903 แรงม้า และแรงบิดที่ 978 นิวตัน/เมตร สำหรับในเรื่องของอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. สามารถทำได้ที่ 2.8 วินาที 0-200 กม./ชม. ได้ที่ 6.8 วินาที และ 0-300 กม./ชม. ได้ที่ 16.5 วินาที ซึ่งเร็วกว่าแม็คลาเรน เอฟ1 ถึง 5.5 วินาที ในเรื่องของความเร็วสูงสุดของเครื่องยนตร์ไฟฟ้า สามารถทำได้ที่ 349 กม./ชม. (217 ไมล์/ชม.)
การออกแบบให้เครื่องอยู่กลางลำท้าย และขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง มีการใช้คาร์บอนไฟเบอร์โมโนค๊อก (Carbon fibre monocoque) ในโครงของรถ ส่วนหลังคาได้ใช้วัสดุใหม่ที่เรียกว่า "โมโนเคจ" (MonoCage) ซึ่งพัฒนามาจาก โมโนเซลล์ ที่เคยใช้กับ 12ซี สไปเดอร์ ที่มาในช่วงต้นปี 2012 จุดเด่นของพี1 นั้นเป็นที่ไฟหน้าที่ลอกเลียนมาจากตราสัญลักษณ์ประจำยี่ห้อแม็คลาเรน สำหรับราคาจำหน่ายเฉลี่ย พี1 สูงกว่า 1.6 ล้านดอลลาร์ หรือเป็นเงินไทยประมาณ 48 ล้านบาท
Top 3 Porshe 911 Turbo
Porshe 911 Turbo
ใช้เครื่องยนต์Boxer 6 สูบนอนทวินเทอร์โบ 3.8 ลิตร 6 ในรุ่น 911 Turbo ทำกำลังได้ 540 แรงม้า ส่วนรุ่น 911 Turbo S ทำกำลังได้ 580 แรงม้า 911 Turbo อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.0 วินาที วิ่งได้เร็วถึง 320 กม./ชม. ถึงแม้ว่าจะทำความเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น แต่ Porsche ก็ยังคำนึงถึงความประหยัดเชื้อเพลิงที่ลดลง 0.6 ลิตร/100 กม.Porsche 911 Turbo มีกำหนดจำหน่ายในประเทศเยอรมันช่วงปลายเดือนมกราคม 2016 ราคาเริ่มต้น €174,669 หรือ เกือบ 9 ล้านบาท
ใช้เครื่องยนต์Boxer 6 สูบนอนทวินเทอร์โบ 3.8 ลิตร 6 ในรุ่น 911 Turbo ทำกำลังได้ 540 แรงม้า ส่วนรุ่น 911 Turbo S ทำกำลังได้ 580 แรงม้า 911 Turbo อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 3.0 วินาที วิ่งได้เร็วถึง 320 กม./ชม. ถึงแม้ว่าจะทำความเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น แต่ Porsche ก็ยังคำนึงถึงความประหยัดเชื้อเพลิงที่ลดลง 0.6 ลิตร/100 กม.Porsche 911 Turbo มีกำหนดจำหน่ายในประเทศเยอรมันช่วงปลายเดือนมกราคม 2016 ราคาเริ่มต้น €174,669 หรือ เกือบ 9 ล้านบาท
Top 2 Ferrari 458 Italia
เครื่องยนต์ของFerrari 458 Italiaรุ่นนี้ ถือเป็นของเด็ดทีเดียว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขนาด 4,500 ซีซี V8 จัดวางด้านหลังจับคู่กับเกียร์ดูอัลคลัช 7 สปีด โดยคำนึงถึงทั้งการถ่วงน้ำหนักและการรับอากาศ เพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสมในการติดตั้ง โดยมีกำลังถึง 570 แรงม้า ถือเป็นเครื่องยนต์ที่มีความแรงต่อซีซีมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเฟอร์รารี มีกำลังถึง 127 แรงม้าต่อ 1000 ซีซีเลยทีเดียว ส่งผลให้ได้ทั้งกำลังที่สูงแต่ประหยัดน้ำมันกว่ารุ่นก่อน ๆ และยังเรียกแรงบิดกว่า 80 เปอร์เซ็นต์จากรอบเครื่องยนต์ต่ำได้ ส่งผลให้รถพร้อมจะทะยานได้ทุกเมื่อ สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 325 กม./ชม. ด้านราคาจำหน่าย เฟอร์รารีได้ตั้งราคาจำหน่ายในต่างประเทศของ 458 อิตาเลียไว้ที่ 233,509 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.7 ล้านบาท
Top 1 Lamborghini Aventador
ลัมโบร์กีนี อะเวนตาโดร์ ได้รับคำชมว่า "เป็นรถลัมโบร์กีนีที่ดีที่สุดเท่าที่ลัมโบร์กีนีเคยสร้างมา" (The best Lamborghini ever) และ "รถซูเปอร์คาร์ เครื่อง V12 ที่เป็นมิตรมากที่สุดในโลก" (The friendliest V-12 supercar in the world ) จากนิตยสาร Car and Driver and Motor Trend นอกจากนี้อะเวนตาโดร์ ยังชนะรางวัล "รถแห่งปี (ประจำปี 2011)" (Supercar of the Year 2011) ของท็อปเกียร์อีกด้วย รหัส LP700-4 นั้น คงยังคงพกรูปร่างทรวงทรงที่น่าหลงและถ้ามองผิวเผินมันอาจจะคล้ายกับ Revento n แต่มีขนาดใหญ่กว่า ที่ลงตัวด้วยความกว้าง 2030 มม. ยาว 4780 ม.ม. สูงเพียง 1136 มม.ที่ยังคงเอกลักษณ์เครื่องยนต์วางกลาง แล้วลงตัวด้วยเส้นสายการออกแบบที่เน้นสร้างความโฉบเฉี่ยวและดุดันไปพร้อมกัน ในขณะที่ เบื้องล่างลงตัวด้วยล้อขอบ 19 นิ้ว พร้อมยาง 255/35 ในขณะที่ด้านหลังใหญ่กว่าเล็กน้อยกับขอบ 20 นิ้ว ที่ลงตัวพร้อมยาง 335/30
เครื่องยนต์ V12 รุ่นใหม่ ที่รีดแรงม้าเน้นจากขุมพลังตัวนี้มากถึง 700 แรงม้า ส่วนแรงบิดก็ดีขึ้นเช่นกันมากถึง 690 นิวตันเมตร ที่ตอบสนองดีกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 30 กิโลวัตต์และ 30 นิวตันเมตรกำลังทั้งหมดจะถูกขับผ่านชุดเกียร์ ISR (Inipendent Shifting Rod) 7 สปีด ที่พร้อมพาเจ้ากระทิงเปลี่ยวที่ทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งคันภายใต้การร่วมมือกับค่ายวิศวกรรมการบินยักษ์ใหญ่อย่างโบอิ้ง พุ่งทะยานอย่างรวดเร็วด้วยอัตรา 0-100 กม/ชม ใน 2.9 วินาที ในขณะที่ความเร็วปลายถ้ากล้าก็ไปได้ไวปานสายฟ้าถึง 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ทั้งหมดขับเคลื่อนด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อด้านความปลอดภัยก็มั่นใจได้ โดยเฉพาะ ระบบเบรคที่งานนี้จัดมาให้ชุดใหญ่ที่พร้อมสยบฝูงม้า 700 ตัว ด้วยขานเบรขนาดใหญ่ 16 นิว้ พร้อมคาลิปเปอร์เบรค 6 พอท ทางด้านหน้า ส่วนด้านหลังจานเบรคขนาด 15 นิ้ว พร้อม คาลิปเปอร์ 4 พอท เอาอยู่ได้อย่างง่ายดายหายห่วงเสนอขาย aventador ในราคา 379,700 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 12.15 ล้านบาท ..ไม่รวมภาษีนำเข้าและมูลค่าเพิ่ม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น